วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

นายพ่วง บุษรารัตน์



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พ่วง บุษรารัตน์


นายพ่วง บุษรารัตน์

นายพ่วง  บุษรารัตน์  หรือ  "ครูพ่วง"  "อาจารย์พ่วง"  เป็นบุตรของนายคลิ้ง  และ  นางดวง บุษรารัตน์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๒  มิถุนายน ๒๔๗๐ ที่บ้านวังจระเข้ หมู่ที่ ๔ ตำบลโตนดด้วน อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง มีพี่น้อง  ๖   คน  ชื่อ  "พ่วง" ก็โดยเหตุที่เกิดมาเป็นลูกคนสุดท้อง  ห่างจากพี่คนถัดไปนานถึง ๖ ปี เพิ่มจะพ่วงท้ายมาภายหลัง อาจารย์พ่วงได้เข้าเรียนระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดป่าตอ ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน  เข้าเรียนระดับมัธยมที่โรงเรียนช่วยมิตร อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง  จนจบชั้นมัธยมปีที่  ๖ แล้วออกไปทำไร่ทำนาและค้าขายอยู่ ๑ ปี จึงไปสมัครเป็นครูโรงเรียนราษฎร์ที่โรงเรียนช่วยมิตร และสอบชุดครู พ.ม.ได้ อาจารย์พ่วงสอนที่โรงเรียนช่วยมิตร ๑๓  ปี  ต่อมาสอบบรรจุเข้ารับราชการครูที่โรงเรียนพนางตุง   อำเภอควนขนุน  จังหวัดพัทลุง   สอนหนังสือที่โรงเรียนพนางตุงได้  ๓  ปี  ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งครูใหญ่ตรีโรงเรียนพนางตุง 

ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นครูใหญ่ตรีโรงเรียนควนขนุนในปี  พ.ศ.๒๕๐๙  อาจารย์พ่วงสอบเลื่อนชั้นเป็นข้าราชการครูชั้นโทได้ แต่ไม่สามารถบรรจุตำแหน่งครูใหญ่โทที่โรงเรียนควนขนุนได้เพราะมีปริมาณงานน้อย  กรมสามัญศึกษาจึงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งครูโรงเรียนบ้านท่ามิหรำ  อำเภอเมือง  จังหวัดพัทลุง และได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่หัวหน้าหมวดวิชาภาษาไทย และดำรงตำแหน่งผู้ช่วยครูใหญ่โรงเรียน
บ้านท่ามิหรำจนเกษียณอายุราชการ รวมเวลารับราชการทั้งสิ้น ๒๘ ปี
          
ตั้งแต่วัยเด็ก  อาจารย์พ่วงเป็นคนชอบอ่านหนังสือคำกลอน และติดใจหนังสือประโลมโลกที่แต่งเป็นคำกลอน ชื่อ"กลิ่นกรอบแก้ว"ของนายเสือ ชาวอำเภอระโนด ตั้งแต่ครั้งเรียนชั้นประถมปีที่ ๔ หลังจากนั้นก็ศึกษาการเขียนกลอน และหนังสือคำกลอนต่าง  ๆ ทั้งที่แต่งโดยนักกลอนชาวบ้าน และวรรณคดีต่าง ๆ เช่น รามเกียรติ์ พระอภัยมณี ขุนช้างขุนแผน อิเหนา เป็นต้น เมื่อเป็นครูได้ไม่นานได้แต่ง "นางเสเพล" เป็นหนังสือคำกลอนที่เลียนแบบเนื้อหาจากเรื่องสังข์ทอง เลียนวิธีแต่งจากเรื่องระเด่นลันได  หลังจากนั้นมีผลงานที่เป็นคำกลอนอีกมากมายอาจารย์พ่วง  บุษรารัตน์  สมรสกับอาจารย์เขียน  บุษรารัตน์  เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๔๙๕ มีบุตรธิดารวม ๗  คน  และถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งในเม็ดเลือดเมื่อวันที่  ๓  พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ รวมอายุ ๗๒ ปี


ผลงานและเกียรติประวัติ
          
อาจารย์พ่วง  บุษรารัตน์  ผู้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมของภาคใต้  สาขาศิลปะ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๐ เป็นผู้มีผลงานการเขียนหลายประเภท
๑.งานเขียนเรื่องหนังตะลุง ๒.งานเขียนเรื่องมโนราห์  ๓.งานเขียนบทร้อยกรอง ๔.งานเขียนร้อยแก้ว  
๕.งานเขียนบทละคร 

พระอาจารย์นำ ชินวโร (นำ แก้วจันทร์)



 
                                               พระอาจารย์นำ ชินวโร (นำ แก้วจันทร์)
                                                     วัดดอนศาลา จังหวัดพัทลุง


พระอาจารย์นำ ชินวโร เกิดเมื่อวันศุกร์ เดือนเก้า (สิงหาคม) พ.ศ.2434 ที่บ้านดอนนูด ตำบลปันแต (บ้านดอนนูดมีอาณาเขาติดต่อกับ 3 ตำบล คือ ตำบลปันแต ตำบลควนขนุน ตำบลมะกอกเหนือ) เป็นบุตรของนายเกลี้ยง นางเอียด แก้วจันทร์ มารดาได้เสียชีวิตตั้งแต่ท่านยังเล็กอยู่ (หลังจากคลอดบุตรหญิงคนสุดท้อง) บิดาเป็นอาจารย์ที่เก่งกล้าทางไสยศาสตร์ ดังนั้นพระอาจารย์นำ จึงได้มีโอกาสศึกษาวิชาทางไสยศาสตร์เบื้องต้นแต่เยาว์วัย นอกจากนั้น บิดายังได้นำไปฝากให้ศึกษาวิชาเวทมนตร์คาถากับพระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงมากสมัยนั้น จนอายุได้ 20 ปี จึงได้อุปสมบทกับพระอาจารย์ทองเฒ่า ที่วัดเขาอ้อ ได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมอยู่ 6 พรรษา จึงลาสิกขา แล้วได้สมรสกับนางสาวพุ่ม มีบุตรชาย หญิง ด้วยกัน 4 คนจนกระทั่ง พ.ศ.2506 พระอาจารย์นำ ได้ป่วยหนักจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ได้มีลูกศิษย์ของท่านประทับทรงหลวงพ่อที่วัดเขาอ้อ (บ้างก็ว่าท่านฝันเห็นพระอาจารย์ทองเฒ่า) บอกว่าหากจะให้หายป่วยจะต้องบวช ซึ่งท่านก็รับว่าถ้าหายป่วยแล้วจะบวชทันที ปรากฏว่าอาการป่วยของท่านก็หายเป็นปกติ ดังนั้นพระอาจารย์นำจึงได้อุปสมบทอีกครั้งหนึ่งที่วัดดอนศาลา เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 และได้อยู่ในเพศบรรพชิตตลอดมาจนถึงแก่มรณภาพ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ.2519 รวมอายุได้ 85 ปี ต่อมาในปี 2520 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2520

พระอาจารย์นำ ชินวโร ได้ทำคุณประโยชน์หลายอย่าง ที่สำคัญได้แก่

1. การช่วยเหลือราชการปราบปรามโจรผู้ร้าย

ในสมัยที่พระอาจารย์นำ ยังเป็นฆราวาส พ.ศ.2466 ทางมณฑลนครศรีธรรมราช ได้ส่งพระยาวิชัยประชาบาล ผู้บังคับการตำรวจมณฑลนครศรีธรรมราช ไปปราบโจรผู้ร้ายในจังหวัดพัทลุง ไปตั้งกองปราบที่วัดสุวรรณวิชัย ปรากฏว่าพระอาจารย์นำ ได้เป็นกำลังสำคัญในการนำสืบจับโจรผู้ร้าย ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์แก่เจ้าหน้าที่ในการปราบปรามครั้งนั้นมาก จนสามารถปราบปรามโจรผู้ร้ายได้สงบราบคาบ

2. การสร้างวัตถุมงคล

พระอาจารย์นำ ได้สร้างเครื่องรางของขลังไว้มาก ทั้งที่สร้างด้วยตัวท่านเองและสร้างร่วมกับคณาจารย์ผู้อื่นเช่น พ.ศ.2483 ร่วมมือกับพระครูสิทธิยาภิรัตน์ (เอียด) สร้างพระมหาว่าน ขาว-ดำ และพระมหายันต์ แจกให้ทหารที่ไปรบในสงครามอินโดจีน พ.ศ.2512 ได้สร้างพระเนื้อผงผสมว่าน จำนวน 4 พิมพ์ พ.ศ.2513 สร้างพระปิดตาเนื้อชิน ตะกั่ว พ.ศ.2519 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล ได้สร้างเหรียญรูปเหมือนพระอาจารย์นำ และพระกริ่งทักษิณ ชินวโร ซึ่งเป็นวัตถุมงคลรุ่นสุดท้ายของท่าน นอกจากนี้ท่านยังได้สร้างตะกรุดและผ้ายันต์ไว้มากมาย วัตถุมงคลเหล่านี้เป็นที่เชื่อถือ ศรัทธา ของประชาชนทั่วไป ในวงการพระเครื่องแสวงหากันมาก จนปัจจุบันกลายเป็นวัตถุมงคลที่หาได้ยากยิ่งอย่างหนึ่ง

3. การสร้างอุโบสถ

พระอาจารย์นำได้ดำริจะสร้างอุโบสถสำหรับวัดดอนศาลา โดยได้ปรึกษาหารือกับบรรดาศิษย์ และได้รวบรวมเงินจากผู้มีจิตศรัทธา จากการทอดกฐินบ้าง ทอดผ้าป่าบ้าง จึงได้เริ่มสร้างอุโบสถตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๓ โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ในการดำเนินการก่อสร้างครั้งนี้ พระอุโบสถวัดดอนศาลาสำเร็จเรียบร้อยเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙ ซึ่งเป็นปีที่ท่านถึงแก่มรณภาพ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จารึกพระปรมาภิไธยย่อ "ภ.ป.ร." ไว้ที่หน้าบันและขอบประตูหน้าต่างอุโบสถทุกบานภายในพระอุโบสถพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นค่าจ้างให้ช่างเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติและทศชาติชาดก ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่พระอาจารย์และชาวจังหวัดพัทลุงเป็นอย่างยิ่ง

พระอาจารย์นำ เป็นผู้มีจิตเมตตา กรุณา มีอุเบกขา ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้ที่พบเห็น ท่านได้ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อสังคมโดยส่วนรวมมากมาย และยังเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ องค์ปัจจุบัน ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ ดังจะเห็นได้จาก เมื่อพระอาจารย์นำยังมีชีวิตอยู่ ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จและทรงเยี่ยมอาการป่วยของท่าน โปรดประทับอยู่ในกุฏินานถึง 2 ชั่วโมง ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่พระอาจารย์นำเป็นอย่างยิ่ง

พระยาขุนคางเหล็ก


phatthalung ประวัติพระยาคางเหล็กหรือพระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก)
ระยาคางเหล็ก

ระยาคางเหล็ก เป็นนักปกครองที่มีความสามารถสูง ดังจะเห็นได้จากการปรับเปลี่ยนท่าทีตามนโยบายของส่วนกลางมาตลอด เช่น ในสมัยกรุงธนบุรี ได้เปลี่ยนวิธี อิสลามมานับถือพุทธศาสนา ต่างเล่ากันว่าเมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีรับสั่งถามขุนนางที่เข้าเฝ้าอยู่ว่า “ใครจะตามเสด็จขึ้นสวรรค์ได้บ้าง” ผู้เข้าเฝ้าต่างคนต่างนิ่งอยู่ แต่พระยาคางเหล็กกราบทูลว่า “เป็นอันเหลือวิสัยผู้หาบุญมิได้ จะตามเสด็จ ขึ้นสวรรค์ในเวลาที่มีชีวิตอยู่ ข้าพระพุทธเจ้าจะได้ตามเสด็จเมื่อหาชีวิตไม่แล้ว” พระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดฯ ว่าพูดถูกนี่เป็นคำพูดที่กล้าทูล จึงได้รับนามว่า “คางเหล็ก” แม้จะมีการเปลี่ยนแผ่นดินในปี พ.ศ.๒๓๒๕ พระยาคางเหล็ก ก็ยังได้รับพระกรุณา โปรดเกล้าฯ จากรัชกาลที่ ๑ ให้คงรับราชการเป็นเจ้าเมืองพัทลุงต่อไป และได้ส่งธิดาไปถวายตัวเป็นเจ้าจอมด้วย คือเจ้าจอมมารดากลิ่น ในพระองค์เจ้าสุทัศน์ (ต้นสกุลสุทัศน์ ณ อยุธยา)

นอกเหนือจากเป็นนักปกครองที่มีความสาารถสูงแล้ว พระยาคางเหล็กยังเป็นนักรบที่กล้าหาญ เช่น เมื่อคราว “สงครามเก้าทัพ” ใน พ.ศ.๒๓๒๘ ได้ร่วมมือกับพระมหาช่วย พระภิกษุผู้มีความรู้ทางไสยศาสตร์แห่งวัดป่าเลไลย์ ปลุกระดมมหาชนชาวพัทลุงต่อสู้พม่า เพื่อปกป้องแผ่นดินไว้ด้วยชีวิต ต่อจากนั้นได้เป็นแม่กองทัพเรือคุมทัพเมืองพัทลุงและเมืองจะนะ ยกไปตีเมืองปัตตานีร่วมกับทัพหลวง จนตีเมืองปัตตานีได้ในที่สุด

รวมเวลาที่พระยาคางเหล็กว่าราชการเมืองพัทลุงอยู่ ๑๗ ปี โดยถึงแก่อนิจกรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๓๓๒ แม้ท่านจะทำคุณงามความดี ให้แก่เมืองพัทลุงเป็นเวลานานแล้วก็ตามแต่ คุณงามความดี ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ความซื่อสัตย์ของท่าน ยังอยู่ในความทรงจำของชาว พัทลุงสืบไป

พระยาทุกขราษฏ์ (ช่วย)


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พระยาทุกขราษฎร์
วีรบุรุษพระยาทุกขราษฏ์ (ช่วย)
พระยาทุกขราษฏร์ (ช่วย) เดิมชื่อ "ช่วย" เป็นต้นตระกูล "สัจจะบุตร" และศรีสัจจัง"ไม่ปรากฏหลักฐานนามบิดามารดา ตลอดจนปีที่เกิดและปีที่เสียชีวิต แต่พอจะสันนิษฐานได้ว่า น่าจะเกิดประมาณตอนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา และเสียชีวิตปลายรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นชาวบ้านน้ำเลือด หมู่ที่ ๕ ตำบลท่ามิหรำ อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง
ชีวิตในร่มกาสาวพัตร พระยาทุกขราษฏร์ (ช่วย) ได้เรียน นโม ก ข ขอมไทย และบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดควนปรง วัดใกล้บ้าน จนกระทั่งมีอายุได้ ๒๐ ปี ก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดเขาอ้อ ตำบลมะกอกเหนือ อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง แล้วได้สมัครเป็นศิษย์ พระอาจารย์ทอง วัดเขาอ้อ พระผู้มีความเชื่ยวชาญทางไสยศาสตร์ เป็นที่เลื่องลือไปทั่วภาคใต้ พระยาทุกขราษฏร์(ช่วย) มีความสามารถ ในการศึกษาเล่าเรียน และการปฏิบัติธรรมทางพุทธศาสนาควบคู่กับการศึกษาวิชาทางไสยศาตร์ของสำนักวัดเขาอ้อ จนได้รับการแต่งตั้ง เป็น"พระมหาช่วย" เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั่วไป จึงได้รับการนิมนต์ไปเป็นเจ้าอธิการวัดป่าเลไลย์ วัดเก่าแก่ หลังจากที่ พระยาคางเหล็ก(ขุน) ได้ย้ายเมือพัทลุงไปตั้งที่บ้านโคกลุง ตำบลลำปำ ในปี พ.ศ.๒๓๑๕ และมีเวลาในการสั่งสมคุณงามความดี จนเป็นที่เคารพกราบไหว้บูชาด้วยความศรัทธาของชาวบ้าน ทั้งคงจะมีความสนิทสนมกันมากขึ้นกับเจ้าเมือง ทั้งนี้เพราะวัดป่าเลไลย์ อยู่ไม่ไกลกันมากนักกับเมือง ที่วัดนี้เองที่พระมหาช่วยได้สร้างวีรกรรมที่ควรแก่การยกย่องเชิดชูเกียรติประวัติ และเป็นแบบอย่างแก่ อนุชนสืบไปโดยปลุกมหาชนชาวพัทลุง เป็นกำลังเข้าต่อต้านพม่าที่จะยกมาตีหัวเมืองพัทลุงใน "สงครามเก้าทัพ " พ.ศ. ๒๓๒๘ ที่พม่ายกพลมาทุกทิศทุกทางเพื่อต้องการยืดเมืองไทยให้ได้
เมื่อเสด็จศึกพม่าแล้ว พระยาพัทลุงคางเหล็ก (ขุน) ได้เข้ากราบทูลความดี ความชอบในวีรกรรมขอพระมหาช่วยต่อสมเด็จกรม พระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ที่เมืองสงขลา สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท จึงให้สึกออกจากบรรพชิต แล้วทรงพระ กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็น "พระยาทุกขราษฏร์" ผู้ช่วยราชการเมืองพัทลุง โดยมีตำแหน่ง "พระยา" เท่าเทียม กับเจ้าเมือง เนื่องจากได้สร้าง วีรกรรมเพื่อปกป้องแผ่นดินมาตุภูมิไว้ด้วยชีวิต ด้วยคุณงามความดีนี้เองทางจังหวัดพัทลุงจึงได้เอาชื่อของท่าน ไปตั้งเป็นชื่อถนนสายหนึ่ง ชื่อ "ถนนช่วยทุกขราษฏร์" และในปี พ.ศ.๒๕๓๗ จังหวัดพัทลุงร่วมด้วยส่วนราชการ องค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน พ่อค้าประชาชน ทุกสาขาอาชีพ ได้พร้อมกันจัดสร้างอนุสาวรีย์พระยาทุกขราษฏร์ (ช่วย)ประดิษฐานไว้ที่สามแยกบานท่ามิหรำ ในเขตเทศบาลเมืองพัทลุง

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

กนกพงศ์ สงสมพันธ์

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์
กนกพงศ์ สงสมพันธ์
กนกพงศ์ เป็นนักเขียนที่มีวัตรปฏิบัติในการทำงานเขียนอย่างเข้มข้น หนักแน่น ทุ่มทั้งชีวิต และจิตวิญญาณในการสร้างสรรค์งานเขียนขึ้นมาตั้งแต่เป็นวัยหนุ่มกระเตาะ จนถึงอายุขึ้นหน้าด้วยเลข 4 ในปัจจุบัน เขาเขียนบทกวี และเรื่องสั้นมาตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และทำงานเรื่อยมาอย่างเต็มที่เต็มกำลัง เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มนาครซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มทำงานด้านศิลปวรรณกรรม และศิลปวัฒนธรรมของปักษ์ใต้ผู้อ่อนเยาว์ที่สุด
       
       ความสำเร็จในอาชีพนักเขียนของเขา ซึ่งสะท้อนออกมาจากความเด็ดเดี่ยว และความมีวินัยในการทำงานเขียนหนังสืออย่างหนัก มีความมุ่งมั่นในอาชีพนักเขียนอย่างเต็มที่ จนเป็นแบบอย่างให้นักเขียนรุ่นหลังที่จะเข้ามาสู่อาชีพนี้
       
       การได้รับรางวัลซีไรต์จากนวนิยาย 'แผ่นดินอื่น' จึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของผู้คนในวงการวรรณกรรม และคนอ่านหนังสือเท่าไหร่นัก การนั่งเป็นบรรณาธิการนิตยสารไรเตอร์ ซึ่งเป็นนิตยสารวรรณกรรมสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่า กนกพงศ์รักและใส่ใจวงการวรรณกรรมมากมาย แม้จะปิดตัวลงไปก็ตาม
       
       กนกพงศ์ ถือเป็นหนึ่งในนักเขียนหนุ่มที่กำลังจะขยับตัวเองเปลี่ยนผ่านสู่มิติหนึ่งในการทำงานสร้างสรรค์วรรณกรรม เพราะตั้งแต่ปี 2548 ที่ผ่านมา งานของกนกพงศ์เริ่มทยอยออกมาสู่ท้องตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมเรื่องสั้น 'โลกหมุนรอบตัวเอง' กับการกลับมาของเขาอีกครั้ง หลังจากเว้นระยะไม่มีงานเชิงวรรณกรรมออกมายาวนานเกือบ 10 ปี รวมถึงเขาเป็นโต้โผในการทำนิตยสารวรรณกรรม 'ราหูอมจันทร์' ที่กำลังจะออกมาในดือนหน้า ทำให้วงการวรรณกรรมค่อนข้างตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง
       
       แต่น่าเสียดายที่เขาเพิ่งเริ่มต้นไฟฝันครั้งใหม่ กำลังสานงานต่อยังไม่ลุล่วง พระเจ้าก็รีบเอาตัวไปเสียก่อน